วันจันทร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2555

วิถีชีวิตและวัฒนธรรมท้องถิ่น


 
ชาวผู้ไทยตำบลโพนจะมีความรักในเชื้อสายของตนเองมากจากอดีตถึงปี ๒๕๒๕ จะเห็นได้จากวิถีชีวิตวัฒนธรรมการแต่งงาน คนผู้ไทยจะไม่ยอมรับคนต่างเชื้อสายเข้ามาเป็นสะใภ้หรือบุตรเขยเลย แต่เมื่อมีการขยายตัวทางโครงสร้างพื้นฐาน มีการจ้างแรงงาน มีการส่งบุตรหลานให้ไปทำงานไปศึกษาต่างถิ่น ก็มีการแต่งงานเข้าสู่ชุมชนเพิ่มขึ้นจนถึงปัจจุบัน การรับเอาคนต่างเชื้อสายเข้าสู่ชุมชนผู้ไทยบ้านโพนเป็นเรื่องธรรมดา แต่ที่สำคัญประเพณีการแต่งงานยังรักษาวัฒนธรรมของชาวผู้ไทยไว้อย่างดียิ่ง
การปลูกบ้านและการขยายครอบครัว เดิมนั้นผู้ไทยจะอยู่แบบครอบครัวใหญ่ มีปู่ ย่า ตา ยาย ลุง ป้า พ่อ แม่ และลูก ๆ หลาน ๆ รวมกันทั้งหมด มีการปลูกบ้านเป็นลักษณะบ้านผู้ไทยทั้งเรือนแฝด เรือนเกย แต่ปัจจุบันครอบครัวขยาย พอมีการแต่งงานคู่บ่าวสาว มักจะไปสร้างบ้านอยู่ต่างหาก ปัจจุบันนี้บ้านที่เป็นลักษณะดั้งเดิมของชาวผู้ไทยยังคงเหลือให้เห็นอยู่ประมาณ ๘-๑๐ หลังคาเรือน นอกนั้นเป็นบ้านสมัยใหม่และเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งคือต้องหลังใหญ่ แต่ส่วนมากบ้นหลังใหญ่ ๆ จะมีเพียง ๑ ห้องเท่านั้น
ผู้ไทยผู้ลาว
๑. การแต่งกาย ชายนุ่งโสร่ง, กางเกงขาสั้น (หัวรูด)
หญิง นุ่งซิ่นหมี่ ไหม, ฝ้าย
ปัจจุบัน นุ่งซิ่นสีดำหรูหรา / แต่งตัวทันสมัยราคาแพง
นุ่งกางเกงสมัยใหม่
นุ่งผ้าถุงสำเร็จ 
ไม่แพง / ธรรมดา
๒. อาหาร นิยมรสชาดจัด เค็มจัด เผ็ดจัด เปรี้ยวจัด
นิยมรสชาดธรรมดาไม่จัดมาก
๓. ภาษา ใช้ภาษาผู้ไท (สนทนา)
ใช้ภาษาลาวอีสาน
๔. สภาพบ้านเรือน ใหญ่ / มั่นคง (ราคาแพง) 
(ใต้ถุนสูง – สูงมาก)
เล็ก / ไม่มั่นคง
๕. เศรษฐกิจ ร่ำรวยมีหัวค้าขาย
ค่อนข้างจน
๖. วัฒนธรรม รักษาประเพณีดั้งเดิมได้เข้มแข็ง
ไม่ค่อยสืบสานประเพณี / นิยมสมัยใหม่
๗. ความขยัน / อดทน มีมาก
ค่อนข้างน้อย
anihand.gifการวางผังที่อยู่อาศัยในชุมชนโพน
การปลูกบ้านของชาวผู้ไทยมักนิยมปลูกบ้านติดต่อกันอยู่ในเครือญาติ จะไม่นิยมปลูกห่างกันมากนัก เพราะส่วนมากหากมีการขยายครัวเรือนออกไปจะอยู่ในละแวกใกล้กันไม่เกิน ๑๐๐ เมตร และอาศัยรั้วเดียวกัน เดินไปมาหากันสะดวก ซึ่งจะมีซอยเล็ก ๆ เลียบไปตามชายบ้าน บางทีมีการปลูกบ้านขึ้นใหม่ก็ต้องลอดใต้ถุนบ้านไป ชาวผู้ไทยนิยมปลูกบ้านทรงสูง กินสูงมาก ใต้ถุนจะไว้เลี้ยงสัตว์ เก็บอุปกรณ์การเกษตรใช้เป็นที่ทอผ้า บ้านที่อยู่ชุม (จุ้ม) หลาย ๆ หลัง มักมีลานบ้านไว้สำหรับนั่งคุย ปรึกษา ตลอดจนทำกิจกรรม เช่น จักสาน ฯลฯ ร่วมกันในบ้านโพนนั้นตระกูล “ศรีบัว” จะมีมากที่สุด หรือ “จุ้ม” ใหญ่ที่สุด รองลงมา คือ ตระกูล “ศรีบ้านโพน” ซึ่งมีเชื้อสายผู้ไทยแท้ และอยู่กันเป็นจุ้ม การตัดถนนในปัจจุบันจะตัดตามเส้นทางเดินเก่าซึ่งคับแคบมาก ส่วนใหญ่ในชุมชนรถยนต์วิ่งได้ทางเดียว
การปกครองและพัฒนาชุมชนจะแบ่งกันออกเป็นคุ้ม (จุ้ม) ในเขตเทศบาล แบ่งออกเป็น ๔ คุ้มใหญ่
ประกอบด้วย
๑. คุ้มมิตรสัมพันธ์
๒. คุ้มน้ำรวม
๓. คุ้มน้ำใจ
๔. คุ้มตะวันยอแสง
การแบ่งคุ้มจัดให้มีคณะกรรมการบริหาร ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาคุ้มการตรวจสอบปัญหาของชุมชน เช่น ยาเสพติด ก็เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการในชุมชนโพน มีการก่อสร้างศาลาเอนกประสงค์ไว้ ใช้ในการพบปะแลกเปลี่ยนทำกิจกรรมรวม ๙ แห่ง และถือว่าเป็นแหล่งที่รวมชนชั้น คือ ศาลาเอนกประสงค์ ศูนย์วัฒนธรรมผู้ไทย ผ้าไหมแพรวาบ้านโพน ซึ่งดำเนินการก่อสร้างปี ๒๕๔๕ จัดให้มีทั้งพิพิธภัณฑ์การปลูกบ้านต้นแบบของชาวผู้ไทย แบบต่าง ๆ มีศาลากิจกรรม ๒ หลัง และศูนย์จำหน่ายผลิตภัณฑ์และการสาธิต ซึ่งนำรายได้เข้าชุมชนอย่างเป็นรูปธรรม และยังสร้างชื่อเสียงให้ชุมชนในระดับชาติด้วย
วิถีชีวิตของชาวผู้ไทยและผู้ลาวในตำบลโพน ถึงแม้เชื้อสายสัมพันธ์จะแตกต่างกัน แต่การดำเนินกิจกรรมในชุมชน การพัฒนาชุมชนตลอดจนการสร้างชื่อเสียงให้ชุมชนทุกคนไม่ได้แบ่งว่าเป็นผู้ไทย ผู้ลาว เพียงการปกครองแบ่งเท่านั้น ทุกวันนี้วัฒนธรรมผู้ไทจะถูกผู้ลาวเข้าไปกลืนไปบ้างถึงไม่มาก แต่ต่อไปถ้าหากไม่รักษาวัฒนธรรมผู้ไทให้สืบสานต่อไปสู่อนุชนรุ่นหลังเห็นทีจะเลือนหายไป
national_costume_china.gifการแต่งกาย
ปกติผู้ชายนุ่งผ้าด้วยตาเมล็ดงา สีดำ หรือนุ่งผ้าขาวม้าด้ายขาว สวมเสื้อด้ายสีดำ(ผ้าพื้นเมือง) หญิงนุ่งซิ่นใช้เสื้อสีดำ (ผ้าพื้นเมือง) ถ้าไม่สวมเสื้อแทนที่ จะห่มผ้าเอาแขนเสื้อผูกสะพายแล่งเฉียงบ่า ใช้แทนห่มผ้า เครื่องประดับของชายปกติไม่มี หญิงหากมีฐานะดีนิยมใส่ต่างหู (กระจอนหู) ทำด้วยเงินหรือทองสำริดใส่ประจำตัวเสมอ นิยมเกล้าผมมวยและมัดศรีษะด้วยผ้าแพรมนต์หรือผ้ามนต์ขีด (ผ้าพื้นเมือง) ส่วนผู้หญิงนุ่งซิ่นหมี่ไหม สวมเสื้อผ้าดำแขนยาวรูปเสื้อกระบอกติดลูกกระดุมถ้วยแถวหนึ่งประมาณ ๓๐-๔๐ เม็ด สมัยนี้บางคนนิยมใช้สตางค์ห้าหรือสตางค์สิบ ร้อยซ้อนกับลูกกระดุม ทำตามฐานะคนจนและคนมี เครื่องประดับกายมีลูกแก้ว ร้อยเป็นสายใช้คล้องคอผู้ข้อมือเกี่ยวหูพันผมหลายเส้น ใช้ทั้งหญิงและชาย พวกผู้หญิงยังเอาเงินบาท เหรียญสลึงและเงินต่างประเทศเจาะรูร้อยเป็นแถวคล้องคล้ายเสมาอีกด้วย ถ้าเป็นนักขัตฤกษ์ การทำบุญต่างบ้าน จะต้องเดินทางไปจากบ้าน พวกผู้หญิงจะต้องมีกะหยั่ง ใส่เครื่องนุ่งห่ม และเครื่องแต่งตัว หวี กระจก แป้ง พร้อมไปด้วยทุกคน เมื่อเวลารับศีลพวกผู้หญิงจะต้องถอดเครื่องประดับออกกองไว้หมด เมื่อรับศีลแล้วจึงกลับแต่ตามเดิม ลักษณะร่างกายของคนพวกนี้ รูปพรรณสัณฐานเหมือนคนไทยธรรมดา เว้นแต่หญิงไว้ผมยาวทุกคน และสำเนียงพูดต่างกับคนไทยธรรมดา คล้ายกับสำเนียงพวกพม่า และถ้าสังเกตกิริยาที่เดินจะมีแปลกบ้าง โดยมากจะเป็นคนผิวขาว เนื้อหยาบ ท่าเดินท่าก้มๆ โดยสันนิษฐานว่าคนพวกนี้ชินกับการเดินทางขึ้นเขาลงเขาเสมอ
ภายในหมู่บ้านหนึ่ง ๆ ยังมีสิ่งปลูกสร้างประเภทอื่น ๆ เพิ่มเติมอีก
๑. สิ่งก่อสร้างทางศาสนาและความเชื่อ ได้แก่ วัด และหอมะเหสักข์ ซึ่งวัด (ในความหมายของชาวบ้านเรียกรวมถึงสำนักสงฆ์ด้วย) ถือเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวบ้านส่วนหอมะเหสักข์ หอปู่ตา หรือศาลปู่ตา ถือเป็นสิงสถิตย์ของผีประจำหมู่บ้าน หรือผีบรรพบุรุษที่สำคัญที่จะช่วยคุ้มครอง ภัยภิบัติ ที่เกิดแก่หมู่บ้านตำแหน่งของหอมะเหสักข์ จะอยู่นอกหมู่บ้านหรือริมหมู่บ้านติดกับป่าสาธารณประโยชน์ (ชาวบ้านเรียกว่า “ดอน”) ด้านใดด้านหนึ่งของหมู่บ้าน
๒. สิ่งก่อสร้างทางสังคม แบ่งได้เป็น
๒.๑ โดยหมู่บ้านร่วมกันทำขึ้น ได้แก่ ศาลากลางบ้าน เป็นอาคารตั้งอยู่ริมถนนหรือที่เป็นย่านศูนย์กลางชุมนุมชน ใช้เป็นที่ประชุมหรือร่วมกิจกรรมด้านต่าง ๆ นอกจากนี้มีร้านค้าที่ทำเป็นเพิงเล็ก ๆ ขายของเบ็ดเตล็ดใช้เป็นที่รวมปรึกษากันระหว่างและแต่ละคุ้ม
๒.๒ โดยการพัฒนาจากทางราชการ ได้แก่ สถานีอานามัย ร้านสหกรณ์ประจำหมู่บ้านศาลาจอดรถริมทาง เป็นต้น
๓..สิ่งก่อสร้างเพื่อการเกษตร ได้แก่ คอกหมู คอกเป็ด คอกไก่ และเล้าข้าว มีขนาดสัดส่วน และตำแหน่งไม่แนะนอน ตามแต่ฐานะของผู้เป็นเจ้าของ
signal_light.gif การวางผังภายใน
การวางผังภายในคุ้มมีข้อน่าสังเกต คือ
๑. ในส่วนที่เป็นสวน หรือส่วนที่ปิดล้อมเนื้อที่ภายในคุ้ม นิยมล้อมด้วยต้นไม้ เช่น ต้นสะบู่ดำ (ไม้เยา) ไม้เป้า ต้นตะบองเพชร หรือกอไผ่
๒. ส่วนที่เป็นบ้านหากฐานะดี นิยมเสารั้วไม้แก่น (ไม้สองจับ) ใช้สิวเจาะต้นเสาให้ทะลุเป็นช่องใช้ไม้เนื้อแข็งสอดเป็นรั้วตามแนวนอน เรียกตามภาษาท้องถิ่นว่า “รั้วหลักโคน” หากฐานะปานกลางนิยมใช้ไม้ผาดตามแนวรั้วกั้นเป็นเขตพอกั้นไม่ให้วัว ควาย เข้าไปทำให้พืชสวนเสียหายเท่านั้น
๓. ลักษณะของรั้วไม่ได้ป้องกันขโมยแต่อย่างใด ลักษณะการต่อเนื่องของรั้วจะมีบ้างและไม่มีบ้าง ซึ่งเป็นลักษณะหลวม ๆ ทั้ง ๔ ด้าน แต่ละด้านทางเข้าสู่ภายในคุ้ม ด้านละ ๒-๔ ทาง และเป็นตัวเชื่อมระหว่างภายนอกกับเนื้อที่ภายในคุ้ม
๔. ลานบ้าน ใช้เนื้อที่รอบ ๆ เรือนแต่ละหลัง ลานบ้านนอกจากจะเป็นตัวเชื่อมกับอาคารแล้วยังมีประโยชน์ในด้านอื่นอีก เช่น เป็นที่นั่งเล่นของเด็ก ตากผลิตผลทางการเกษตร พบปะสังสรรค์งานการละเล่นและพิธีกรรมของชาวบ้าน ผูกวัวควาย และใช้เป็นที่ตากฟืน
๕. ทางสัญจรภายใน อาศัยเนื้อที่ว่างและส่วนที่เป็นลานเป็นทางเดินติดต่อทางทะลุติดต่อกันภายในคุ้ม ดังนั้นทางสัญจรภายในจึงวกวนไปมาตามเนื้อที่ระหว่างอาคาร
๖. เล้าข้าวหรือยุ้งข้าว ใช้เป็นที่เก็บข้าวเปลือกของชาวบ้าน สร้างด้วยเสาไม้แก่น ฝาปิดทึบกันฝน ด้านหน้าทำประตูปิดด้วยแผ่นไม้วางซ้อนกันเป็นแผ่น ๆ หลังคานิยมมุงด้วยกระเบื้องไม้ ต่อมาพัฒนาเป็นมุงด้วยสังกะสี เรือนแต่ละหลังจะมีเล้าข้าว (ยุ้งข้าว) ของตนเอง ห่างจากตัวเรือนพอประมาณโดยปกติเล้าข้าวนิยมปลูกติดกับริมรั้วด้านใดด้านหนึ่งซึ่งจัดไว้ต่างหาก ซึ่งเป็นบริเวณที่เจ้าของที่ดินไม่คิดจะรื้อเพื่อปลูกบ้านขยายออกไปครอบคลุมเนื้อที่นั้นอีก เพราะคติในการปลูกเรือนที่ถือกันมาอย่างยิ่ง คือ จะไม่ปลูกบ้านในบริเวณที่ที่เคยเป็นเล้าข้าวมาก่อน ดังนั้นการปลูกเล้าข้าวจึงกำหนดจุดที่แน่นนอน ส่วนใหญ่เล้าข้าวจะวางแนวขนานกับตัวเรือน ด้านทิศเหนือหรือใต้
สำหรับครอบครัวที่ขยายออกใหม่ หรือมีฐานะยังไม่มั่นคง จะยังไม่มีเล้าข้าวกแต่จะอาศัยบริเวณใต้ถุนเรือนใหญ่ด้านทิศตะวันออกทำเป็นคอกกั้นเป็นห้องสำหรับใส่ข้าว เจ้าของเรือนบางหลังนิยมใช้ไม้ไผ่หรือลำแซง (กระแซง) สานเป็นรูปทรงกระบอกจรดพื้นเรือน เรียกว่า “ซอมข้าว”
๗. เรือนพักอาศัย แต่ละหลังจะวางเบื้องไปมา และกระจายอย่างไม่เป็นระเบียบโดยไม่มีแนวหรือแกนที่เป็นศูนย์กลาง เรือนแต่ละหลังวางแนวสันหลังคาตามแนวทิศตะวันออกและตกเสมอระยะห่างแต่ละหลังไม่แน่นอน
๘. สวนครัว ตำแหน่งไม่แนะนอน เนื้อจากเนื้อที่ว่างภายในบริเวณไม่เอื้ออำนวย จะมีอยู่บ้างเพียงบางส่วนเพื่อปลูกพลู หรือ ผักประกอบอาหารบางชนิด สวนใหญ่นิยมทำเป็นส่วนลอยทำเป็นร้านขึ้นไปอยู่ริมชานด้านหลังขอเรือนติดกับโองน้ำเรียกว่า “ฮ้านผัก” หรือปลูกใส่ภาชนะที่ชำรุดใช้การไม่ได้แล้ว บางแห่งใช้ไม้กั้นเป็นคอกสี่เหลี่ยมผืนผ้าเหมือนรางใส่รำหมู เพื่อปลูกพืชผักรากสั้น เช่น หอม กระเทียม กระแหน่ ขิง และใบบัวบก เป็นต้น
สวนลอยบางแห่งนิยมใช้ครกกระเดื่อง* (ครกมอง) และรางเกลือ** ซึ่งมีทั้งชนิดไม้เนื้อแข็ง หรือลำตาลโดยเซาะเนื้อเยื่อภายในออกเหลือเฉพาะแก่นภายนอก ยกพื้นให้สูงจากดินด้วยเสาไม้ง่ามสูงประมาณ ๑ เมตร ใช้เป็นที่ปลูกพืชผักสวนครัว
house13_brown.gif รูปแบบ และโครงสร้างของเรือนเสากลมผู้ไทย
รูปแบบของเรือนเสากลมพื้นบ้าน สามารถจำแนกโดยพิจารณาตามรูปลักษณะที่แตกต่างกัน ประกอบกับการเปลี่ยนแปลงของวัสดุในการก่อสร้างบางส่วน สามารถแยกรูปแบบของเรือนได้ดังนี้
๑. เรือนแฝดทรงไทย
๒. เรือนเกยประเภทที่เรือนโข่ง
๓. เรือนธรรมดาชนิดมีเรือนไฟ
๔. เรือนเกยธรรมดาชนิดไม่มีเรือนไฟ
๕. เรือนชั่วคราว
(ส่วนเรื่องอื่น ๆ ที่นอกเหนือจากที่กล่าวแล้วเป็นเรือนที่ปลูกขึ้นใหม่ หรือเป็นเรือนเสาเหลี่ยม (ใช้เสาถากเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยม) หรือเรือนที่ได้รับอิทธิพลจากภายนอก เช่น วัสดุก่อสร้างค่านิยมใหม่ ตลอดจนยึดมั่นในคติโบราณน้อยลง ผู้ศึกษาจะไม่กล่าวถึงเพราะถือว่าเป็นเรื่องที่อยู่ในขอบเขตของการศึกษาครั้งนี้)
๑. เรือนแฝดไทย
จัดอยู่ในเรือนของคหบดี ผู้มีอันจะกิน มักมีฐานเดิมมั่นคง หรือผู้สืบเชื้อสายมาจากอุปฮาด ราชวงศ์ หรือท้าวเพีย เรือนดังกล่าว ชาวผู้ไทยเรียกเป็น “โฮง” (โรงเรือน) คือเรือนที่มีฐานะและศักดิ์ศรีสูงกว่าเรือนธรรมดาของชาวบ้านทั่วไป ซึ่งชาวบ้านไม่บังอาจสร้างเรือนขนาดดังกล่าวได้ ถือว่าทำตนเสมอเจ้า ในคุ้มหนึ่ง ๆ จะมีไม่กี่หลัง เรียกเป็น “บ้านญาแม่โฮงเหนือ” หรือ “คุ้มญาแม่โฮงใต้ “ ปกติจะเป็นเรือนประธานดั้งเดิม และมีเรือนบริวารกระจายอยู่รอบ ๆ เป็นเรือนที่มีอายุมากกว่าเรือนอื่น ๆ
ลักษณะเด่นของเรือน
๑. จั่วทรงสูง มีห้องประมาณ ๓-๕ ห้อง
๒. เป็นเรือนแฝด ชายคาของเรือนนอนและเรือนโข่งจรดกัน ไม่มีเฉลียง
๓. เดิมมุงด้วยกระเบื้องไม้ หรือกระเบื้องดินขอ
๔. สร้างด้วยไม้จริงทั้งหลัง
๕. มีช่วงฮางริน (รางน้ำ) เป็นตัวเชื่อมส่วนต่าง ๆ ของเรือน
๖. ฝาบ้านส่วนใหญ่ใช้ไม้จริง มีฝาลายคุบตามเรือนไฟเป็นส่วนน้อย
๗. มีบันไดขึ้นลงอย่างน้อย ๓ ทาง
๘. เป็นเรือนชนิดถาวร เจ้าของเรือนฐานะค่อนข้างดี
๙. มีเรือนไฟแยกอยู่ทางทิศตะวันตกต่างหาก
๒. เรือนเกยประเภทมีเรือนโข่ง
เป็นเรือนที่มีขนาดย่อมลงมากกว่าเรือนประเภทแรก ประกอบด้วยเรือนใหญ่ 3 ห้องมีระเบียง (อีสานเรียกเป็นเกย ผู้ไทยเรียกเป็นเปิง) ต่อจากเรือนนอน ถัดมาเป็นชานแดด สำหรับสัญจรและใช้สำหรับเป็นทางขึ้นบันได เรือนโข่งจะอยู่ติดชานด้านตรงข้ามกับเรือนใหญ่ ซึ่งปกตินิยมทำเป็น ๒ ห้อง หากทำเป็น ๓ ห้อง มักปิดกั้นฝาเพียง ๒ ห้อง รวมสามด้านไม่สูงมากนัก ส่วนด้านที่ติดชานแดดจะเปิดโล่ง ใช้เป็นที่รับรองเพื่อนบ้านหรือญาติที่สนิทสนม พักผ่อนหลับนอนของลูกชาย หากเป็นญาติผู้ใหญ่ หรือแขกพิเศษที่ไว้วางใจ มักรับรองให้หลับนอนบนเรือนใหญ่ที่เรียกว่า “ฮอง” ด้านทิศตะวันออก
ลักษณะเด่นของเรือน
๑. เรือนใหญ่มักเป็นลักษณะของเรือนมีเกยแบบอีสานทั่วไป
๒. เรือนโข่งอยู่ด้านตรงข้ามกับเรือนใหญ่
๓. ความกว้างด้านสกัดของเรือนโข่งจะสั้นกว่าเรือนใหญ่เล็กน้อย ความยาวเท่ากับสองห้องของเรือนใหญ่ หรือเท่ากันในกรณีที่เรือนโข่งมี ๓ ห้อง
๔. หลังคาจั่วทรงสูงแต่เล็กและต่ำกว่าเรือนใหญ่เล็กน้อย
๕. ฝาเรือนโข่งส่วนใหญ่เป็นฝาไม้ไผ่สานลายคุบ สูงประมาณ ๘๐ เซนติเมตร
๖. มีเรือนไฟแยกอยู่ทางทิศตะวันตกต่างหาก
๓. เรือนเกยธรรมดาชนิดมีเรือนไฟ
เรือนประเภทนี้จะมีเฉพาะเรือนนอน (เรือนใหญ่) เฉลียง (เกยหรือเปิง) ชานแดด เรือนไฟ ชานมน และร้านแอ่งน้ำ ที่แตกต่างจากประเภทที่ ๑ และ ๒ คือ ไม่มีเรือนโข่ง
ลักษณะทั่วไป
๑. ฝาส่วนใหญ่เป็นฝาไม้ไผ่สานลายคุบ หรือไม้ไผ่โก๊ะสานขัดแตะ
๒. ไม่มีเรือนโข่ง
๓. เรือนไฟใช้เสาไม้จริงทุบเปลือกหรือเสาไม้แก่น (ไม้แก่นล่อน) ทำง่าย ๆ ไม่พิถีพิถัน ฝาใช้ฝาแขบตอง (ใบตองกุง) มีรูโหว่ทั่วไป ติดกับชานด้านทิศตะวันตกโดยผ่านชานน้อย
๔. มีชานมนสำหรับวางแอ่งน้ำและประกอบอาหารลดต่ำลงมา
๕. เป็นเรือนของชาวบ้านที่มีฐานะปานกลาง หรือจน

๔. เรือนเกยธรรมดาชนิดไม่มีเรือนไฟ
มีลักษณะเหมือนเรือนเกยทั่วไป แต่ใช้เกยหรือระเบียงด้านทิศตะวันตก ๑ ห้อง สำหรับใช้เป็นที่ประกอบอาหาร ห้องส่วนที่ใช้ทำครัวอาจปิดฝาทึบด้วยฝาลายคุบ หรือเปิดโล่งแล้ว แต่ฐานะของเจ้าของบ้าน ซึ่งปกติค่อนข้างจะยากจน
๕. เรือนชั่วคราว
แบ่งเป็น ๓ ลักษณะ คือ
๑. เป็นเรือนชั่วคราวทั่วไป หมายถึง เรือนที่มีเฉพาะเรือนใหญ่ ๓ ห้อง และต่อเกยออกมา ๒ ห้อง ใช้บันไดพาดบนเกย ไม่มีชานแดด ห้องครัว ใช้เกยด้านทิศตะวันตกห้องเกยตรงกลางใช้พาดบันได รับประทานอาหาร นั่งเล่น และรับรองแขก เรือนประเภทนี้ส่วนใหญ่ จะเป็นเรือนที่สร้างขึ้นชั่วคราวของครอบครัวเล็ก มีลูก ๑-๒ คน กำลังสร้างฐานะ เรียกตามภาษาถิ่นว่า “ออกเรือนใหม่” หรือครอบครัวที่ยังยากจนอยู่
๒. เรือนเหย้า คือ เรือนที่ทำขึ้นอย่างหยาบ ๆ และจะต้องมีเพียง ๒ ห้อง คือ ห้องนอน ๑ ห้อง ห้องเก็บอุปกรณ์เครื่องครัวเครื่องใช้ รับประทานอาหาร นั่งเล่น พักผ่อน รับรองแขกสนิท วางแอ่งน้ำกิน (น้ำดื่ม) และใช้เป็นที่พาดกะไดขึ้นเรือนไปในตัวเสร็จ
เรือนเหย้ามักเป็นเรือนที่เริ่มขยายใหม่ ในกรณีที่เจ้าของเรือนเพิ่งแต่งงานเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “เรือนสู่” สมาชิกจะมีเพียงสองคนคือ ผัวกับเมีย ซึ่งเปรียบเสมือนเรือนหอของคู่ผัวเมียใหม่นั่นเอง การประกอบอาหารยังต้องอาศัยเรือนใหญ่ของพ่อตาแม่ยาย
คติในการปลูกเรือนเหย้า จะต้องใช้เสาไม้กลมไม่ลอกเปลือก หรือเสาไม้ไผ่และเป็นเรือนเครื่องผูกที่ใช้หวายหรือตอกมัด และจะต้องสร้างให้แล้วเสร็จในวันเดียว และให้อยู่ได้ไม่เกินสามปี ในกรณีที่มีบุตร เจ้าของเรือนอาจต่อเกยหรือเทิบยื่นออกมา เพื่อพออยู่ได้ ซึ่งในระยะที่ออกเรือนใหม่นี้ สามีต้องขวนขวายหาไม้ และเครื่องเรือนประกอบเรือน เพื่อยกฐานะให้ปลูกสร้างเรือนเกยสามห้องให้ได้ หากในระยะสามปีไม่สามารถยกเรือนใหม่ได้ มักถูกตำหนิจากญาติพี่น้องฝ่ายหญิง
๓. กระเติ๊บ หรือตูบของลาว หรือกระท่อม เป็นเรือนติดพื้น พื้นติดดินบริเวณใช้สอย ภายในติดพื้น ส่วนที่ใช้สำหรับเป็นที่นอนยกพื้นด้วยฟากไม้ไผ่เตี้ย ๆ เป็นเรือนชั่วคราวที่ปลูกสร้างขึ้น ในกรณีที่ครอบครัวรื้อบ้านเดิมปลูกใหม่ หรือครอบครัวที่อพยพมาจากที่อื่นมาขออาศัยอยู่ใหม่ และไม่ใช่ที่ดินของตนเอง หากเป็นญาติมักจะปลูกตูบต่อเล้า หากเป็น “ไทยครัว” ที่อพยพขออาศัยอยู่ชั่วคราว มักให้อยู่ตามสวน ครอบครัวที่ปลูกกระเติ๊บหรือตูบอยู่นานเกิน ๖ เดือน ไม่เปลี่ยนแปลงฐานะของที่อยู่อาศัย มักจะเป็นครอบครัวที่ยากจน ไม่มีที่นาเป็นของตัวเอง ส่วนใหญ่อาชีพรับจ้างหรือไม่มีอาชีพเลย

ขอบคุณข้อมูลดีๆจากhttp://blog.eduzones.com/pachara/33571

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น